ความมุ่งมั่นของประเทศไทยในการบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2050 และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2065 สะท้อนถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการขยายกำลังการผลิตพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy: RE) ระบบโซลาร์เซลล์บนหลังคาถือเป็นทางออกที่มีศักยภาพในการกระจายรูปแบบพลังงานของประเทศและเสริมสร้างบทบาทของผู้บริโภคในการเปลี่ยนผ่านพลังงาน แม้ว่าประเทศไทยจะมีศักยภาพด้านพลังงานแสงอาทิตย์สูงและต้นทุนเทคโนโลยีที่ลดลง แต่การนำระบบโซลาร์เซลล์บนหลังคามาใช้งานกลับยังไม่ได้รับการพัฒนาเท่าที่ควรเนื่องจากอุปสรรคต่างๆ รายงานฉบับใหม่ของโครงการพลังงานสะอาด เข้าถึงได้ และมั่นคงสำหรับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Clean, Affordable, and Secure Energy for Southeast Asia: CASE) ได้นำเสนอการวิเคราะห์ที่ครอบคลุมถึงความท้าทายเหล่านี้และเสนอแผนที่ยุทธศาสตร์เพื่อปลดล็อกศักยภาพพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาของประเทศไทย
ศักยภาพที่ยังไม่ได้รับการใช้ประโยชน์
ประเทศไทยมีศักยภาพทางเทคนิคด้านพลังงานแสงอาทิตย์มากกว่า 300 กิกะวัตต์ โดยใช้พื้นที่ไม่ถึง 2% ของพื้นที่ทั้งหมดในประเทศ เพื่อบรรลุเป้าหมายนี้ ภายในปี 2037 ศักยภาพตลาดของโซลาร์เซลล์บนหลังคาถูกคาดการณ์ไว้ที่ 9,000 เมกะวัตต์ (MW) แต่จนถึงปี 2022 มีการติดตั้งระบบเพียง 1,800 MW คิดเป็นเพียงเศษเสี้ยวของศักยภาพที่มี ด้วยต้นทุนไฟฟ้าจากโซลาร์ที่ลดลงและเทคโนโลยีโซลาร์ที่ก้าวหน้า โอกาสในการใช้พลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาเป็นแหล่งพลังงานหมุนเวียนที่สำคัญมีมากกว่าที่เคย
อุปสรรคสำคัญต่อการลงทุน
จากการศึกษาของเรา พบว่ามีปัจจัยเสี่ยงหลัก 8 ประการที่เป็นอุปสรรคต่อการลงทุนในระบบโซลาร์เซลล์บนหลังคา
- ความเสี่ยงด้านการบริหารจัดการและการอนุญาต:
- กระบวนการอนุญาตที่ซับซ้อนเกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงานและใช้เวลานาน ทำให้เกิดต้นทุนธุรกรรม หรือต้นทุนด้านเวลาและราคาที่สูง
- สำหรับการติดตั้งที่มีกำลังการผลิตเกิน 1 เมกะวัตต์ จำเป็นต้องมีใบอนุญาตดำเนินการโรงงานเพิ่มเติม
- ความเสี่ยงด้านตลาดพลังงาน:
- กรอบนโยบายที่ไม่สม่ำเสมอ อัตราการซื้อคืนพลังงานต่ำในโครงการ Net Billing และขาดแรงจูงใจระยะยาว บั่นทอนความมั่นใจของนักลงทุนและผู้บริโภค
- ข้อจำกัดที่อนุญาตเฉพาะการใช้พลังงานเองและห้ามส่งออกพลังงานเข้าสู่ระบบกริด ทำให้โครงการขนาดใหญ่ไม่มีความคุ้มค่าทางการเงิน
- ความเสี่ยงด้านการเงิน:
- การเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่จำกัด เงื่อนไขเงินกู้ที่ไม่จูงใจ หรือความเสี่ยงของผู้ให้กู้ต่อรูปแบบธุรกิจใหม่ให้บริการติดตั้งโซลาร์แบบใหม่
- ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนซึ่งเป็นผลจากการนำเข้าอุปกรณ์พลังงานแสงอาทิตย์
- ความเสี่ยงของผู้พัฒนา: การขาดแคลนผู้พัฒนาที่มีประสบการณ์และใบรับรองที่เหมาะสม เพิ่มความไม่แน่นอนในการดำเนินการ
- ความเสี่ยงด้านอุปกรณ์: ต้นทุนแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนสูงและความสามารถในการทดสอบแผงโซลาร์ที่จำกัด
- ความเสี่ยงด้านโครงข่ายและการส่งไฟฟ้า:
- ความสามารถรองรับโครงข่ายที่จำกัดและการขาดความโปร่งใสเกี่ยวกับรูปแบบและข้อกำหนดการเชื่อมต่อ (Grid Code)
- ความเสี่ยงด้านแรงงาน: การขาดแคลนช่างติดตั้งโซลาร์เซลล์ที่ได้รับการรับรองและขาดแคลนผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมเฉพาะทางเป็นอุปสรรคต่อการติดตั้งระบบคุณภาพสูง
- ความเสี่ยงด้านการรับรู้ของสังคม: ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับระบบโซลาร์รูฟท็อป เช่น ความกลัวฟ้าผ่า หรือความคาดหวังที่ไม่สมจริงเกี่ยวกับความเป็นอิสระด้านพลังงาน (energy independence) เป็นปัจจัยที่ยับยั้งการนำไปใช้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคครัวเรือน
ผลกระทบจากความเสี่ยงต่อต้นทุน
เพื่อช่วยให้คุณเข้าใจผลกระทบทางการเงินจากความเสี่ยงเหล่านี้ได้ดียิ่งขึ้น เราได้ใช้กรอบการประเมินความเสี่ยงต่อการลงทุนในพลังงานหมุนเวียนของโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP’s Derisking Renewable Energy Investment – DREI) ในการวิเคราะห์ ซึ่งผลการวิเคราะห์ชี้ให้เห็นว่าความเสี่ยงด้านการบริหารและการออกใบอนุญาต ความเสี่ยงในตลาดไฟฟ้า และความเสี่ยงของผู้พัฒนาโครงการ เป็นความเสี่ยงหลักที่ทำให้ต้นทุนทางการเงินของการลงทุนโซลาร์เซลล์บนหลังคาสูงขึ้น การลดความเสี่ยงเหล่านี้อาจช่วยลดต้นทุนเงินทุน
ข้อเสนอแนะในการแก้ไขอุปสรรคเพื่อลดความเสี่ยงต่างๆ
เพื่อแก้ไขอุปสรรคเหล่านี้ เราได้สรุปข้อเสนอแนะที่สามารถนำไปปฏิบัติได้ดังนี้:
- ปรับปรุงกระบวนการบริหารจัดการ
- พัฒนาระบบศูนย์กลางบริการแบบครบวงจร (One-Stop Shop) เพื่ออำนวยความสะดวกในกระบวนการอนุญาต การลงทะเบียนอุปกรณ์ และการยื่นคำร้องออนไลน์
- รวมข้อมูลเกี่ยวกับมาตรฐานอุปกรณ์ ผลิตภัณฑ์ทางการเงิน นโยบายสนับสนุน และข้อกำหนดต่างๆ ไว้ในระบบเดียวเพื่อลดต้นทุนธุรกรรมและเวลา
- เสริมสร้างนโยบายให้สอดคล้องกับการวางแผนโครงข่าย
- กำหนดเป้าหมายระยะยาวและโปรแกรมสนับสนุนที่ต่อเนื่องสำหรับโซลาร์เซลล์บนหลังคา ครอบคลุมทั้งภาคที่อยู่อาศัย การค้า และอุตสาหกรรม
- บูรณาการเป้าหมายโซลาร์เซลล์บนหลังคาเข้ากับแผนพัฒนาโครงข่ายไฟฟ้าเพื่อปรับปรุงการพยากรณ์ความต้องการและเพิ่มความสามารถรองรับโครงข่าย
- สนับสนุนการใช้ระบบจัดเก็บพลังงาน (Energy Storage Systems: ESS) เพื่อลดความต้องการพลังงานช่วงพีค
- สนับสนุนทางการเงิน
- เสนอให้หน่วยงานหรือองค์กรมาช่วย “แบ่งเบา” ความเสี่ยงของผู้ที่ต้องการกู้เงินเพื่อติดตั้งระบบโซลาร์ ผ่านกลไกการแบ่งปันความเสี่ยง (risk sharing) เช่น การค้ำประกันเงินกู้ แรงจูงใจตามประสิทธิภาพ (performance-based incentives) และการค้ำประกันความเสี่ยงบางส่วน เพื่อเพิ่มโอกาสให้ผู้ที่ต้องการกู้เงินเพื่อติดตั้งระบบโซลาร์ในการเข้าถึงเงินทุน
- พัฒนาประกันภัยเพื่อครอบคลุมความเสี่ยงจากความเสียหายของระบบโซลาร์
- พัฒนาขีดความสามารถและสร้างความตระหนัก
- ขยายโปรแกรมฝึกอบรมและการรับรองช่างติดตั้งโซลาร์เซลล์เพื่อยกระดับคุณภาพและความปลอดภัย
- จัดแคมเปญให้ความรู้แก่ประชาชนเพื่อลดความเข้าใจผิดและเน้นย้ำถึงประโยชน์ทางเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมของโซลาร์เซลล์บนหลังคา
- เพิ่มความโปร่งใสของผู้พัฒนาโครงการและติดตั้งระบบ
- สร้างระบบรีวิวสำหรับผู้พัฒนาโครงการและช่างติดตั้งระบบเพื่อเสริมสร้างความโปร่งใสและความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคที่ต้องการติดตั้งระบบโซลาร์
- ออกนโยบายจัดการขยะจากพลังงานแสงอาทิตย์และส่งเสริมตลาดสำหรับการใช้งานแผงและแบตเตอรี่ที่หมดอายุ
- ส่งเสริมรูปแบบธุรกิจที่สร้างสรรค์
- พัฒณาการซื้อขายพลังงานแบบ Peer-to-Peer (P2P) และการซื้อขายพลังงานโดยตรง (Power Purchase Agreements: PPA) เพื่อส่งเสริมการแบ่งปันพลังงานในชุมชนและความมั่นคงด้านราคาในระยะยาว
- สำรวจเทคโนโลยี Vehicle-to-Grid (V2G) เพื่อใช้รถยนต์ไฟฟ้าเป็นอุปกรณ์จัดเก็บพลังงาน
บทบาทของความร่วมมือเพื่อพาประเทศไทยสู่อนาคตแห่งพลังงานสะอาด
ความสำเร็จของแนวทางเหล่านี้ขึ้นอยู่กับการประสานความร่วมมืออย่างใกล้ชิดระหว่างหน่วยงานภาครัฐ บริษัทพลังงาน สถาบันการเงิน และภาคเอกชน การสร้างพันธมิตรที่เข้มแข็งและการกำหนดเป้าหมายร่วมกันจะช่วยสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการลงทุนในระบบพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา
Unlocking rooftop solar PV in Thailand: Facilitating policy and financial de-risking instruments
โซลาร์เซลล์บนหลังคานับเป็นโอกาสสำคัญที่สามารถพลิกโฉมการผลิตพลังงานของประเทศไทยให้สอดคล้องกับเป้าหมายด้านพลังงานหมุนเวียน ช่วยลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล และเพิ่มบทบาทของผู้บริโภคในฐานะผู้มีส่วนร่วม ด้วยการแก้ไขอุปสรรคสำคัญและปฏิบัติตามข้อเสนอแนะที่ระบุไว้ในรายงานเล่มนี้ ประเทศไทยสามารถปลดล็อกศักยภาพของพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาได้อย่างเต็มที่ พร้อมก้าวสู่อนาคตที่สะอาดและยั่งยืนอย่างแท้จริง